ซุบซิบ กะพริบข่าว โดยกระจิบข่าว

  • มหรรศจรรย์ แห่งดาวทะเล - ผลิตภัณฑ์ใหม่ มาลาบูกิ ตัวนิวท์ที่ถูกตัดขา และเส้นประสาท (ตำแหน่งดาวสีเหลือง) 2 ตัว ตัวที่ไม่ได้รับโปรตีน nAG (ซ้าย) จะไม่มีขาใหม่งอกออกมา ส่วนตัวที่ได้ร...
    14 ปีที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อะเมซิ่ง มะเหมี่ยวเผือก มีจำหน่ายแล้ว


14 บางกอก ทูเดย์ วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สำหรับ “เซลล์ผิว” ที่ต้องการการดูแลและการปกป้อง คงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและความอ่อนโยนควบคู่กัน
และหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ เราขอแนะนำ ให้คุณลองมาสัมผัสกับ
“เซรั่มบำรุงผิว” ภายใต้แบรนด์ “มาลาบูกิ”
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากเซลล์เนื้อเยื่อของชมพู่ “มะเหมี่ยวขาว”
หรือที่เรารู้จักกันอีกชื่อนั่นคือ “มะเหมี่ยวเผือก”


นอกจาก “มะเหมี่ยวขาว” จะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน
กรอบอร่อย อีกทั้งยังช่วยทำให้ชุ่มคอแก้กระหายน้ำได้แล้ว
ความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติมอบให้ชมพู่มะเหมี่ยวขาว
อีกอย่างหนึ่ง ก็คือสารสกัดจากเนื้อเยื่อคัพพะหรือรกของชมพู่
มะเหมี่ยวนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์

Embrio Syzygium Malaccense Extract


ซึ่งปมปริศนาที่เราค้นพบนี้ ได้ถูกนำมาสู่นวัตกรรมที่ดีที่สุด
ของการชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว


ด้าน “ภก.ปัญญา ปวงนิยม” ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข
และศูนย์พัฒนายาไทยและสมุนไพร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ
ด้านสมุนไพร ยา และสารสกัด ให้ความเห็นว่า


“...สารสกัดจากเนื้อเยื่อคัพพะของมะเหมี่ยวขาว สามารถ
นำมาใช้บำรุงผิว เพื่อผิวขาวที่สดใสและช่วยทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัยได้”


เชิญมาร่วมพิสูจน์และค้นพบความลับแห่งธรรมชาติของ
ชมพู่มะเหมี่ยว พันธุ์ไม้ที่รักษาความชุ่มชื้น กันได้แล้วตั้งแต่วันนี้
นับถอยหลัง 1-10 เพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกยกกระชับของ
ทุกเซลล์ผิวหน้า เพียงสัมผัสแรกของการใช้ผลิตภัณฑ์

คัดลอกจาก : หน้า 14 นสพ.บางกอก ทูเดย์ วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กลูตาไทโอน


กลูตาไทโอนคืออะไรและทำงานอย่างไร?

กลูตาไทโอน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เซลล์ร่างกายผลิตขึ้นมาเมื่ออยู่ในสภาวะเครียด อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น ได้รับสารพิษไม่ว่าจากสิ่งที่เรากินเข้าไปหรือยา ถูกแสงแดดมากเกินไป เป็นต้น
จะขอยกตัวอย่าง เปรียบเทียบการทำงานของสารกลูตาไทโอนดังนี้ โรงงานเมื่อผลิตสินค้าขึ้นมา ย่อมมีของเสียเกิดขึ้นและถ้าของเสียนี้ไม่ได้กำจัดทิ้งให้หมด ของเสียเหล่านี้ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คนในชุมชนไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยและมีผิวพรรณหมองคล้ำ

เซลล์คนเราก็เช่นกัน เมื่อผลิตพลังงานออกมา ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น ของเสียที่เกิดขึ้นนี้ เราเรียกรวมๆ กันว่า อนุมูลอิสระ (FREE RADICALS) ซึ่งเมื่อสะสมมากขึ้นภายในเซลล์ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลง และมีช่วงอายุที่สั้นกว่าปกติ
แต่เซลล์ร่างกายคนเราก็มีกลไกป้องกันตนเอง ด้วยการผลิตสารขึ้นมาเพื่อทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราเรียกสารพวกนี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระ (ANTIOXIDANT)



สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ ที่สำคัญมีอยู่ 2 ตัว ที่ออกฤทธิ์ได้แรงและมีประสิทธิภาพสูง ตัวแรกจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะต้องสังเคราะห์ภายในเซลล์เท่านั้น ตัวที่สองคือ กลูตาไทโอน ซึ่งเซลล์สามารถสังเคราะห์ได้เองและมีอยู่ในอาหารบางประเภท เช่น เนื้อ นม ไข่ เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และเมื่ออายุคนเรามากขึ้น การสังเคราะห์สารทั้งสองตัวนี้ก็ลดลงตามไปด้วย เมื่อเราอยู่ในสภาวะเครียด อย่างในกรณีได้รับสารพิษสะสม, กินยาบางประเภท, การทำงานกลางแดดจัด, อดหลับอดนอน, ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่, ป่วยเรื้อรัง เช่น เป็นมะเร็งหรือโรคเอดส์ เป็นต้น สภาวะเหล่านี้ จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมากและมากกว่าที่สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะรับมือได้ อนุมูลอิสระที่เหลือรอดจากการถูกทำลายจำนวนมากนี้จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลงและเสื่อมเร็วกว่าปกติ

เราจึงพบว่า คนที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวจะมีสภาพซึมเซา ไม่สดชื่น อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เป็นมะเร็งได้ง่าย ผิวหน้าและผิวตัวหมองคล้ำ และที่สำคัญสารอนุมูลอิสระนี้จะไปเร่งการทำลายคอลลาเจนที่ผิวหนังให้เร็วขึ้น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมีผิวพรรณที่หย่อนยานและดูแก่กว่าวัยอันควร

จากการศึกษาวิจัยพบว่า กลูตาไทโอนจะเป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายในเซลล์
ที่มีประสิทธภาพ ส่วนวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายนอกเซลล์ เมื่อให้สารสองตัวนี้ร่วมกัน จะส่งเสริมฤทธิ์ของซึ่งกันและกัน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้สูงขึ้นเป็นทวีคูณ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ควรให้สารสองตัวนี้พร้อมกัน จะทำให้สุขภาพร่างกายสดชื่นขึ้นและผิวพรรณกระจ่างใสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ กลูตาไทโอนยังช่วย เพิ่มภูมิต้านทาน ของร่างกาย ช่วยให้ตัวอสุจิของผู้ชายแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคทางประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง ดีขึ้น

ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา มีการวิจัยด้วยการนำกลูตาไทโอนมาใช้ควบคู่กับการรักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็ง พบว่าคนไข้เหล่านี้มีอาการทั่วไปดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้จะไม่ได้หายจากโรคที่เป็นอยู่ แต่อาการโดยรวมจะดีขึ้น โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นเอดส์ พบว่าสามารถยืดระยะเวลาที่แสดงอาการออกไปได้ และที่สำคัญพบว่า คนไข้เหล่านี้ นอกจากจะมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นแล้ว ยังมีหน้าตาสดชื่นและผิวพรรณแจ่มใสเป็นประกาย ต่างจากเดิมที่เป็นอยู่

จากกรณีดังกล่าว จึงมีแพทย์บางท่านได้ทดลองนำกลูตาไทโอนมาใช้ทางด้านผิวพรรณในคนปกติ
พบว่าสามารถทำให้ผิวพรรณของคนเหล่านี้ สดใสเป็นประกายสว่างไสว จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ดารามีชื่อแทบทุกคนจะฉีดยากลูตาไทโอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สุขภาพของดาราเหล่านั้นดีขึ้นแล้ว ยังช่วงให้ผิวพรรณของพวกเขาเป็น ประกายสว่างไสวอย่างโดดเด่นเวลาอยู่ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมาก
Written By : Dr.Bunlue

แนวโน้มตลาดเวชสำอางทั่วโลก



แนวโน้มตลาดเวชสำอางทั่วโลกแตกต่างจากแนวโน้มตลาดเวชสำอางในไทย

ข้อมูลพวกนี้มีผลอย่างไรต่อตลาดที่อยู่ในมือคุณ? เรื่องนี้คุณไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจเครื่องสำอาง... นี่เป็นเรื่องที่คุณต้องรู้!
จากการสำรวจตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกพบว่า ในกลุ่ม Skin Care ตลาดที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วที่สุดก็คือ ตลาดเวชสำอาง (Cosmeceutical Market) ครับ... ซึ่งมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 55,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ! – ใช่ครับ... คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ตัวเลขนี้ได้มาจากการประชุมประจำปีทางด้านเวชสำอางครั้งที่ 5 (5th Annual Cosmeceutical Conference) เมื่อวันที่ 26 – 27 มิถุนายน 2008 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรม Marriott East side ในกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และงานนี้ก็จัดโดย ALM หรือ Strategic Research Institute


หัวข้อหลักๆ ที่พูดถึงกันมากในงานนี้ก็คือ Skin care ในกลุ่ม Anti-aging, Natural ingredients และเครื่องสำอางสำหรับคนสีผิว ส่วนผู้ที่ได้รับเชิญมาพูดในงานนี้ก็ล้วนแต่เป็นแพทย์และผู้ที่เชี่ยวชาญโดยตรง
ในงานนี้ Navin Geria คอลัมนิสต์ชื่อดังของ Happi magazine ได้พูดย้ำให้เห็นว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มีความคาดหวังและต้องการใช้เครื่องสำอางที่ใช้แล้วเห็นผลจริงและเห็นผลเร็ว! แต่ส่วนใหญ่มักจะผิดหวังกับการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากการโฆษณา ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือสินค้าแบรนด์เนมหลายยี่ห้อได้นำเสนอเครื่องสำอางที่มีราคาสูงโดยอ้างว่าเห็นผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง (ซี่งแบรนด์ที่ว่านี้ต่างก็เข้ามาทำตลาดในบ้านเราด้วย มีหลายคนที่เป็นเหยื่อ เสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น)
นอกจากนี้คุณ Navin Geria ยังได้พูดถึงแนวโน้มใหญ่ที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกก็คือ เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญมากในการเปลี่ยนแปลงตลาดเครื่องสำอางในอนาคต อย่างเช่นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
และยังระบุไว้ด้วยว่า คนมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการผ่าตัดศัลยกรรมความงามและการใช้โบท๊อกซ์ให้น้อยลง โดยจะหันมาเน้นเรื่อง ความสวยจากภายในสู่ภายนอก (Beautiful inside and out) ดังนั้นผู้บริโภคจึงเริ่มมาสนใจการกินอาหารเสริมหรือวิตามินที่จะช่วยให้ดีขึ้นทั้งด้านสุขภาพและผิวพรรณ
จูเลีย แมคนามารา รองประธานของ Datamonitor ได้พูดถึงแนวโน้มในอนาคตของเวชสำอางในอเมริกา โดยเน้นย้ำว่า พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของผู้บริโภคในอเมริกาเองหรือที่อื่นๆ ทั่วโลก จะซื้อเนื่องจาก “มีการแนะนำกันแบบปากต่อปาก”

นักพูดอีกคนที่น่าสนใจในงานก็คือ Dr. Andrew F. Alexis ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของ Skin of Color Center จากโรงพยาบาล St. Luke’s-Roosevelt และเป็นผู้ที่ได้พัฒนาเวชสำอางสำหรับคนสีผิวขึ้นมา
ไฮไลต์ในหัวเรื่องนี้ก็คือ เขาได้ชื้ให้เห็นว่า เวชสำอางสำหรับคนสีผิวนั้น ซึ่งรวมไปถึงคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน, ลาตินและคนเชื้อสายเอเชีย ต่างก็ใช้จ่ายเงินไปถึง 1.9 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ไปกับการซื้อเครื่องสำอาง ซึ่งเครื่องสำอางที่พวกเขาหาซื้อกันก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สีผิวสว่างขึ้น ขาวขึ้นและดูสดใส และแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะเป็น ไฮโดรคิวโนน, Arbutin, Kojic acid, retinols, licorice, niacinamide, AHA หรือ Vitamin C + E — ขอแต่เพียงให้สีผิวของตนเองดูดีขึ้น, สว่างขึ้น, ขาวใสขึ้นเท่านั้น! — นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาพอใจและต้องการ

... กลับมาที่ประเทศไทยเรา พฤติกรรมเช่นนี้ของคนไทยเราก็ไม่ได้แตกต่างไปจากของคนสีผิวในอเมริกาหรือที่อื่นๆ ทั่วโลก เพราะถึงอย่างไรเสียคนเอเชียก็ยังมีค่านิยมที่ว่า “ผิวหน้าที่สว่างสดใส บ่งบอกถึงความมีราศีและความมั่งคั่ง” – หรือคุณว่าไม่จริง?
Written By : Dr.Bunlue

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

SPF คุณแน่ใจหรือว่า... คุณเข้าใจถูกต้อง?



SPF คืออะไร?
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor
มีค่าอยู่ที่ 2 ถึง 50


ค่านี้บอกอะไรเราได้บ้าง...

ค่านี้บ่งบอกถึง ความสามารถของผลิตภัณฑ์ในการปกป้องผิวหนังจากแสงแดด

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณใช้ครีมกันแดดตัวหนึ่งที่มี SPF 15 หมายความว่า ตัวคุณสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นานถึง 15 เท่าของเวลาที่คุณจะอยู่ได้ โดยที่คุณไม่ถูกแดดแผดเผา -- หรือขยายความให้ชัดก็คือ ถ้าปกติคุณออกแดดนาน 10 นาที ผิวของคุณก็จะเกิดอาการไหม้แดงขึ้นมา
ดังนั้น ถ้าคุณใช้ครีมกันแดด SPF 15 นั่นหมายความว่า คุณสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นานขึ้น
15 เท่า โดยที่ผิวของคุณไม่มีอาการอะไร -- พูดให้ชัดๆ ก็คือ คุณสามารถอยู่กลางแดดได้นาน
= 10 นาที x 15 (ค่าของ SPF) = 150 นาที

คงชัดเจนนะครับ... บรรดาเกจิอาจารย์หลายท่านตกม้าตายมาก็มาก แม้แต่พวกแพทย์ที่เก่งๆ ก็ตามเถอะ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้ทุกคนเห็น... จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ขายบางราย
ที่มักจะชี้แนะว่าต้อง SPF ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี -- ก่อนอื่นคุณต้องรู้ก่อนว่า ความสามารถในการ ปกป้อง
ของ SPF ไม่ได้สูงขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับค่า SPF ที่สูงขึ้น -- ยกตัวอย่างให้ชัด คือ SPF 2 จะสามารถดูดซับรังสี UV ได้ 50%, ถ้า SPF 15 จะดูดซับรังสี UV ได้ 93% และถ้า SPF 34 จะดูดซับได้ 97%

เห็นหรือยังครับว่า... พวกเราตกเป็นเหยื่อของผลิตภัณฑ์ที่เอา SPF สูงเข้าล่อ

ปัจจุบันจะมี UPF (Ultraviolet Protectine Factor) ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่ ทั้ง UPF และ SPF แตกต่างกันตรงที่ UPF เป็นค่าที่บอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVA และ UVB

ในขณะที่ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVB เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ตารางข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบ UPF และ SPF

Classification Category Rating %UV Blocked

Very Good UV Protection UPF 25, 30, 35 96.0% - 97.4%
Very Good UV Protection SPF 25, 30 96.0% - 97.4%
Excellent UV Protection UPF 40, 45, 50+ 97.5% - 98.0%
Excellent UV Protection SPF 30 97.5+%

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อยากจะปิดการขายเครื่องสำอางเก่ง

อยากจะปิดการขายเครื่องสำอางเก่ง
คุณควรรู้... กายวิภาคของผิวหนังและหน้าที่


ผิวหนัง จัดว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย และจะห่อหุ้มร่างกายเราไว้ทั้งหมด ทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใต้ลงไป จากความร้อน แสง การติดเชื้อ และสภาพแวดล้อมทั้งหลาย นอกจากนี้มันยังทำหน้าที่




๐ ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
๐ เป็นที่กักเก็บน้ำและไขมัน
๐ มีปลายประสาทรับรู้ความรู้สึก
๐ ป้องกันการสูญเสียน้ำ
๐ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย



ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย จะมีความแตกต่างกันไปทั้งสี ความหยาบละเอียด และความหนา ยกตัวอย่าง ที่ศรีษะจะมีรากผมอยู่มากกว่าที่อื่น ในขณะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าไม่มีเลย แต่จะมีความหนาของชั้นผิวที่มากกว่า เป็นต้น




ผิวหนังประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ ซึ่งแต่ละชั้นก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันไป ดังนี้




๐ ชั้นอีพิเดอมีส (Epidermis)
๐ ชั้นเดอมิส (Dermis)
๐ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutneous fat layer)
๐ ชั้นอีพิเดอมีส




ถือว่าเป็นชั้นนอกสุดของผิวหนัง ชั้นนี้เรียกกันง่ายๆ ว่า หนังกำพร้า ประกอบด้วย 3 ส่วน:-
สเตรตัม คอร์เนียม (Stratum Corneum) เรียกเข้าใจง่ายๆ คือชั้นขี้ไคล ชั้นนี้จะประกอบไปด้วยเซลล์คีราติโนไซต์ (Keratinocytes) ซึ่งจะผลิตสารเคอราติน (Keratin) และเคอราตินนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น ชั้นนี้จะป้องกันสิ่งแปลกปลอมภายนอกไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย

นอกจากนี้ ยังป้องกันการสูญเสียของน้ำออกจากร่างกายด้วย
ชั้นขี้ไคลนี้ ถ้าเกาะติดกันแน่นและไม่ลอกหลุดตามเวลาที่ควร ก็จะไปอุดตันตามรูขุมขนได้ เป็นที่มาของสิวเสี้ยน และเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบตามมาได้ ดังนั้นการใช้กรด AHA ก็จะไปเร่งการผลัดเซลล์ผิวในชั้นนี้ได้ จึงช่วยลดสิวเสี้ยนลงได้

เซลล์คีราติโนไซต์ (หรืออีกชื่อ สความาสเซลล์ - Squamous cell) ถ้าเรียกแบบชาวบ้านก็คือ หนังกำพร้านั่นเอง ชั้นนี้จะอยู่ถัดใต้ชั้นสเตรตัม คอร์เนียมลงไป เป็นชั้นเซลล์คีราติโนไซต์ที่มีชีวิต และเป็นเซลล์ที่มีอายุโตเต็มวัย ซึ่งพร้อมจะกลายสภาพไปเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว (ซึ่งก็คือชั้นสเตรตัม คอร์เนียม) และหลุดลอกกลายเป็นขี้ไคล

ชั้นเบเซิล (Basal Layer) เป็นชั้นที่ลึกที่สุดของชั้นอีพิเดอมีส ที่ชั้นนี้จะมีเบเซิลเซลล์อยู่ และแผ่คลุมต่อเนื่องกันตลอด เบเซิลเซลล์นี้จะแบ่งตัวและสร้างเป็นเซลล์คีราติโนไซต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทดแทนเซลล์คีราติโนไซต์ที่เสื่อมสภาพกลายไปเป็นชั้นสเตรตัม คอร์เนียม

ในชั้นอีพิเดอมีสนี้จะมีเซลล์เมลาโนไซต์แทรกตัวอยู่ ซึ่งเซลล์เมลาโนไซต์นี้จะเป็นตัวที่ผลิตเม็ดสีเมลานิน (ทำให้เกิดสีผิว)

โดยปกติเซลล์ชั้นหนังกำพร้า จะมีการผลัดเปลี่ยนกลายเป็นขี้ไคลตลอดเวลา และหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติ ตามรูป (1) คือเซลล์ชั้นเบเซิล จะแบ่งตัวและเติบโตกลายเป็น เซลล์คีราติโนไซต์ ซึ่งเซลล์ที่เกิดใหม่ (2) จะอยู่ด้านล่าง เมื่อเซลล์คีราติโนไซต์แก่ตัวก็จะถูกดันขึ้นอยู่ด้านบน (3) จากนั้นก็ตายกลายเป็นชั้นสเตรตัม คอร์เนียม ซึ่งก็คือชั้นขี้ไคล (4) นั่นเอง

ผิวหนังในเด็ก ขบวนการนี้จะเกิดขึ้นเร็ว ทำให้เด็กมีผิวหน้าใส, เรียบเกลี้ยง แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กระบวนการดังกล่าว จะเกิดขึ้นช้าๆ ทำให้การผลัดเซลล์ผิวช้าลง ขี้ไคลก็จะพอกหนาขึ้น

เมื่อมีปัจจัยภายนอกต่างๆ มาเสริม เช่น โดนแสงแดดบ่อย, มลพิษ, สารเคมี, สูบบุหรี่ ก็จะไปเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้ผิวหยาบกร้าน, มีรอยด่างดำ, ตกกระ, ฝ้า รอยเหี่ยวย่น ผิวหน้าแลดูหมองคล้ำ ไม่สดใส
๐ ชั้นเดอมีส
เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลาง จัดว่าเป็นชั้นหนังแท้ ที่ชั้นนี้จะมี
๐ หลอดเลือดขนาดเล็ก มาหล่อเลี้ยง
๐ ท่อน้ำเหลือง
๐ รากขน
๐ ต่อมเหงื่อ
๐ เส้นใยคอลลาเจน
๐ เซลล์ไฟโบรบลาส (Fibroblast) ซึ่งเป็นตัวที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน (Elastin)
๐ เส้นประสาท

ชั้นเดอมีสนี้ จะถูกยึดเข้าหากันด้วยเส้นใยคอลลาเจน ชั้นนี้จะมีปลายประสาทรับความรู้สึกเจ็บ
และสัมผ้ส ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง

เป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุด ชั้นนี้จะมีเครือข่ายของเส้นใยคอลลาเจนและเซลล์ไขมัน ช่วยในการเก็บสะสมพลังงานความร้อนไม่ให้สูญเสียออกนอกร่างกาย และช่วยปกป้องร่างกาย ด้วยการดูดซับแรงกระแทกจากภายนอก

ความรู้เรื่องผิวหนังจะช่วยให้คุณเข้าใจกลไกการทำงานของสารเคมีบางกลุ่ม ช่วยให้คุณเข้าใจว่า ปัญหาต่างๆ ของผิวหน้าว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? ซึ่งไว้บทความต่อไป ผมจะประยุกตฺ์เรื่องนี้เพื่อให้คุณมองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น -- และเมื่อคุณเข้าใจดีแล้ว... คุณก็จะเลือกเองได้ถูกต้องว่า ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อะไรไปขาย และควรขายอะไรให้กับลูกค้าของคุณคนไหน? -- ไม่ใช่ซื้อมาแล้วขายไม่ออก ไม่รู้ว่าจะขายให้ใคร เพราะคุณเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันมีประโยชน์จริงๆ อย่างไร?... เพราะมัวแต่ปล่อยให้ผู้ผลิตพูดชี้นำคุณอยู่ฝ่ายเดียว...!

เฮ้อ... เสียเงินไม่ว่า -- ยังต้องมาโดนว่า ให้ช้ำใจอีก... กลุ้ม!

ฝ้า กระ เกิดขึ้นได้อย่างไร? — หายขาดได้หรือไม่?



ฝ้า กระ เป็นความผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซต์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินมากเกิน

ซึ่งสัมพันธฺ์กับปัจจัยหลัก 3 ประการคือ


๐ ฮอร์โมนเพศ
๐ แสงแดด
๐ กรรมพันธุ์


ฮอร์โมนเพศ
ส่วนใหญ่เราจะพบฝ้าและกระในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่... ทำไม? เพราะสภาวะฮอร์โมนเพศหญิงนั่นเอง
ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายสูงขึ้น ก็ทำให้มีโอกาสเป็นฝ้า กระได้มากกว่าปกติทั้งนั้น สภาวะที่ว่านั้นได้แก่ การตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น ซึ่งก็รวมไปถึงยาบางตัวที่เป็นฮอร์โมนและมีสูตรโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับฮอร์โมนเพศหญิง เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นต้น
ตอนนี้ก็มีคำถามตามมาว่า ยังงี้ทำไงถึงหายขาดได้? -- คำตอบ... ยากครับ คงต้องรอให้หมดประจำเดือน ซึ่งก็คง อายุราว 45 - 50 ปี เห็นจะได้ เพราะถึงตอนนั้นฮอร์โมนเพศหญิงก็คงจะหมดแล้ว

แสงแดด
เป็นปัจจัยหลักอีกตัวหนึ่ง ดังนั้น เราจึงมักเห็นฝ้าและกระชอบขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนที่ต้องสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าบริเวณอื่น เช่น โหนกแก้ม สันจมูก ริมฝีปาก เป็นต้น โดยรังสี UV จะไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical) ขึ้นที่ชั้นผิวหนังและอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ จะไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้สร้างเมลานินเพิ่มขึ้น รังสี UVA และรังสีช่วงที่มองด้วยตาเปล่าได้ (320-700 nm.) จะสามารถกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้สร้างเม็ดสีเมลานินได้ดีกว่า ดังนั้น ถ้าต้องการจะปกป้องผิวจากแสงแดดให้ได้ผลดี ควรเน้นครีมกันแดดที่สามารถปกป้องรังสี UVA เป็นหลัก หรือไม่ก็เป็นครีมกันแดดที่สามารถปกป้องได้ทุกคลื่นรังสี (Broad Spectrum UV Protection)

กรรมพันธุ์
กรรมพันธุ์ จะมีความสัมพันธ์กับกระเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าคนในครอบครัวเป็นกัน โอกาสที่คนนั้นจะเป็นกระก็มากกว่าคนทั่วไป เชื้อชาติ ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกัน เราจึงเห็นว่าบางเชื้อชาติ ผู้หญิงจะเป็นกระมาก เช่น ชาวยุโรป เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งเมื่อคุณเข้าใจดีแล้ว จะได้แนะนำลูกค้าของคุณได้ถูกต้องว่า ฝ้าและกระเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ -- แต่คุณก็สามารถจะรักษาให้ฝ้าและกระของลูกค้าของคุณจางลงได้มาก ด้วยผลิตภัณฑ์ที่คุณมีอยู่ ซึ่งในบทต่อไป ผมจะแนะนำคุณว่า สารเคมีหรือสารสกัดตัวใดที่จะใช้รักษาให้ฝ้าและกระจางลงได้

ขอย้ำอีกประเด็นที่สำคัญมาก -- คุณอาจจะได้รับข้อมูลหรือได้เห็นโฆษณามากมาย ที่บอกว่าผลิตภัณฑ์ของเขา สามารถรักษาฝ้าและกระให้หายขาดได้ 100% ทั้งหมดนั้น -- เป็นการหลอกลวงที่น่ากลัวที่สุด!
จากข้อมูลด้านบน ที่ผมได้อธิบายให้คุณเข้าใจ... คุณจะเห็นว่าไม่มีทางเลย ที่จะหายจากฝ้าและกระได้ นอกเสียจากจะทำให้มันจางลงได้เท่านั้น แล้วก็ใช้เทคนิกการแต่งหน้ามาช่วยกลบเกลื่อน อีกที

... อืม ยังมีอีกอย่าง ใช่เลย กรณีที่คุณได้ผ่าตัดเอารังไข่ทั้งสองข้างออกไปแล้ว ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายของคุณก็จะหมดไปด้วย ถ้าอย่างนี้ คุณอาจจะหายจากฝ้า กระได้ และถ้าคุณทนต่อสภาพผิวหนังแตกแห้งไม่ได้หรือสภาวะวูบวาบตามตัว (อันเกิดจากสภาวะฮอร์โมนเพศหญิงหมดไป -- วัยทอง) ซึ่งทำให้คุณต้องกินฮอร์โมน... แน่นอน มันก็จะกลับมาเยี่ยมเยียนคุณอีก

อย่าลืมนะครับ นำข้อมูลที่ผมถ่ายทอดให้คุณนี้ ไปอธิบายให้ลูกค้าของคุณเข้าใจ และจริงใจต่อเขา... เชื่อผมเถอะว่าท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะสามารถขายผลิตภัณฑ์ของคุณได้

ทิป 10 ข้อในการปกป้องผิวจากแสงแดด



๐ 10 ทิป ในการปกป้องดูแลผิวนี้ คุณควรใช้เป็นแนวทางในการปกป้องผิวของคุณ -- ถ้าคุณจริงจังกับปัญหาเรื่องริ้วรอย และกลัวจะแก่ก่อนวัย -- อย่าเสี่ยงด้วยการปล่อยให้มันเกิดขึ้นก่อน แล้วมารักษาเอาทีหลัง... รับรองกระเป๋าคุณฉีกแน่!


1) รังสี UV ที่สะท้อนจากพื้นผิวทราย, น้ำ, ทางเดินเท้า, ผนังซีเมนต์และหิมะ จะมีปริมาณที่มากกว่าการได้รับจากแสงแดดโดยตรงถึง 2 เท่า!!!... น่าเหลือเชื่อ

2) ให้หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงตอน 15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่แดดจัดที่สุด

3) ให้ทาครีมกันแดดอย่างน้อยที่สุดควร SPF 15 ขึ้นไป ถึงจะเป็นวันที่มีเมฆครึ้มก็ตาม

4) ถึงจะทาครีมกันแดดป้องกันไว้อย่างดีแล้ว ก็ควรจะใส่เสื้อคลุมทับไว้ให้มิดชิด (เสื้อเชิร์ทโดยทั่วไปจะให้ค่า SPF ได้ในช่วง 5 - 8)

5) ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15 นาทีและทาซ้ำบ่อยๆ (ถ้าต้องการเห็นผล) โดยเฉพาะตอนออกกำลังกาย ว่ายน้ำ หรือทำงานกลางแดดจัด

6) ใช้แว่นกันแดดที่ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB และต้องกรองรังสีได้อย่างน้อย 80% ขึ้นไป

7) การทาครีมกันแดดเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดูแลผิวเราเท่านั้น คุณควรจะต้องใช้ทั้งหมวก ร่มกันแดด แว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าสวมให้มิดชิด แค่นี้ยังไม่พอ... ควรจะหลบแแดดได้ก็ยิ่งดี

8) อย่าลืมทาครีมกันแดดที่ใบหูและคอด้วย -- ไม่ใช่เน้นเฉพาะใบหน้าเพียงอย่างเดียว และริมฝีปากก็ต้องทาลิบบาล์ม (Lip balm) ที่มี SPF ด้วย

9) การอยู่ในร่มไม่ใช่ว่าคุณจะปลอดภัย 100% ถึงแม้แสงแดดจะไม่ถูกต้องตัวคุณ แต่รังสี UV ก็สามารถสะท้อนเข้ามาในร่มได้ เพราะฉะนั้นการทาครีมกันแดดป้องกันไว้จะปลอดภัยที่สุด แม้คุณจะทำงานในตึกก็ตาม

10) ในเด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ก็ควรเริ่มทาครีมกันแดดป้องกันไว้จะดีที่สุด

... และอย่าลืมถ่ายทอดให้กับลูกค้าของคุณด้วย -- เขาจะได้มีความรู้สึกที่ดีกับคุณและคิดว่า -- คุณมีอะไรดีดีให้เขาอีกมาก... !!!